วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

การใช้งานและการปรับตั้งค่า COMPRESSER-GATE-LIMITER

การใช้งานและการปรับตั้งค่า COMPRESSER-GATE-LIMITER 
COMPRESSOR/LIMITER

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมระดับความดังของเสียง ไม่ให้สัญญาณเสียงที่ออกไปมีความแรงมากเกินไป รวมทั้งทำหน้าที่อื่นๆด้วย ซึ่งหน้าที่การทำงานภายในเครื่องจะประกอบด้วยหน้าที่การทำงานหลัก 3 ส่วน ดังนี้


1. EXPANDER/GATE
ทำหน้าที่ขยายและเปิดประตู[GATE] ให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องตามความต้องการของผู้ใช้ ว่าจะให้สัญญาณที่มีระดับความแรงมากน้อยเท่าไรที่จะให้เครื่องเริ่มทำงาน โดยมีปุ่มปรับต่างๆในส่วนนี้คือ


1.1 ปุ่ม THRESHOLD เป็นปุ่มปรับเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานและหยุดทำงาน หน่วยที่ปรับมีค่าเป็น dB เช่นเราปรับตั้งค่าไว้ที่ -45 dB หมายความว่า สัญญาณเสียงที่มีระดับสัญญาณต่ำกว่า -45dB เครื่องจะไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ไม่มีสัญญาณใดๆผ่านเครื่องออกไปได้ และเครื่องจะเริ่มทำงานเมื่อระดับสัญญาณมีค่าสูงกว่า -45 dB ค่าที่เราตั้งเพื่อให้เครื่องเริ่มทำงานนี้เรียกว่า "ค่าเทรชโฮลด์"
อย่างไรก็ตามถ้าเราปรับไว้ที่ตำแหน่งต่ำสุดหรือ OFF หมายความว่า สัญญาณที่มีระดับสุดแค่ไหนก็ตามก็สามารถผ่านเข้าไปในเครื่องได้ นั่นคือสัญญาณจะผ่านเข้าไปได้ทั้งหมดตลอดเวลานั่นเอง


การจะตั้งค่าเทรชโฮลด์เป็นเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เครื่องนี้ควบคุมเสียงอะไร เช่น ถ้าต้องการควบคุมเสียงสำหรับไมค์นักร้อง หรือควบคุมเสียงทั้งระบบ ให้ตั้งค่านี้ที่จุดต่ำกว่า -45 dB เพราะต้องให้ระดับเสียงเบาๆออกไปได้ แต่ถ้าควบคุมเสียงของไมค์กลองกระเดื่อง กลองสแนร์ หรือไฮแฮต ก็ให้ตั้งค่าที่สูงกว่า -45 dB ซึ่งมีค่าไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความดังของกลองหรือเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ


1.2 ปุ่ม RELEASE เป็นปุ่มสำหรับหน่วงเวลา คือหลังจากที่ประตู[GATE] เปิดให้สัญญาณเข้ามาในเครื่องแล้ว ถ้าไม่มีสัญญาณใดๆเข้ามาอีกหรือสัญญาณมีค่าต่ำกว่าค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้ เกทก็จะปิด ส่วนอื่นๆของเครื่องก็ไม่ทำงาน ระยะเวลาที่ใช้ในการปิดเกทอีกครั้งหลังจากไม่มีสัญญาณเข้ามาแล้วนั้นเราเรียกระยะเวลานี้ว่า "Release Time" ปุ่มที่ทำหน้าที่ปรับระยะเวลานี้คือปุ่ม RELEASE ค่าที่บอกไว้ที่เครื่องคือ Fast หมายความว่าเกทจะปิดอย่างรวดเร็วหลังจากหมดสัญญาณ และ Slow หมายความว่า เกทจะหน่วงเวลาไว้ระยะหนึ่งจึงค่อยปิด ระยะเวลาเร็วหรือช้าแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะปรับตั้งค่าไว้


ค่า Release Time ของเกทนี้จะตั้งเป็นเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเสียงที่เราใช้งาน เช่นไมค์สำหรับเสียงพูดหรือเสียงนักร้อง ให้ปรับไว้ที่ประมาณบ่ายสองโมง [Slow] เพราะเสียงคนเราจะมีปลายหางเสียงเช่น เสียงตัว สิ. ,สี่.. ,ซิ... ,ซี...เอส....เฮช....ทู...ฯลฯ.. เป็นต้น ปลายหางเสียงเหล่านี้จะได้ไม่ขาดหายไป
ส่วนการปรับเสียงจากเครื่องดนตรีเช่นเสียงกลองกระเดื่อง ถ้าเราไม่ต้องการเสียงกระพือหลังจากที่เราที่เหยียบลงไปที่หน้ากลองลูกแรก ก็ให้เวลาในการปิดเกทเร็วขึ้น[Fast] หรือเสียงไฮแฮตถ้าเราไม่ต้องการให้มีปลายหางเสียงมากเกินไป ให้เสียงซิบๆๆ..ซี่ๆๆ..ซิบๆๆ...ดีขึ้นก็ให้ปิดเกทให้เร็วขึ้นเพื่อปลายหางเสียงที่เบาๆจะได้ถูกตัดออกไป
**อย่างไรก็ตามปุ่มRELEASE ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE นี้ ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี และบางรุ่นทำเป็นสวิทช์กดให้เลือก**


1.3 ปุ่ม RATIO เป็นปุ่มทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงเป็นอัตราส่วนของ dB เมื่อเทียบค่ากับ 1 เช่น 1:1หมายความว่าสัญญาณจะไม่ถูกลดระดับเลย , 2:1หมายความว่าสัญญาณที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าไหร่ก็ตามจะถูกทำให้ลดลงสองเท่า
**อย่างไรก็ตามปุ่ม RATIO นี้ในส่วนของภาคEXPANDER/GATE ในเครื่องบางรุ่นอาจจะไม่มี**


2. COMPRESSOR
ทำหน้าที่กดระดับสัญญาณให้ลดลงในอัตราส่วนตามค่าที่เราได้ปรับตั้งไว้ หน้าที่การทำงานของปุ่มปรับต่างๆในส่วนของภาคคอมเพรสเซอร์นี้มีดังนี้


2.1 ปุ่ม THRESHOLD เป็นปุ่มสำหรับตั้งค่าจุดเริ่มการกดสัญญาณ(จุดเทรชโฮลด์) เช่นเราตั้งค่าไว้ที่ 0 dB สัญญาณจะเริ่มลดลงที่ 0 dB และถ้าปรับตั้งไว้ที่ -10 dB ก็หมายความว่าสัญญาณเสียงจะเริ่มลดลงที่จุด -10 dB (ค่าติดลบมากเสียงจะลดลงมาก)
การลดลงของสัญญาณเสียงที่จุดเทรชโฮลด์นี้ ถ้าเป็นการลดลงอย่างรวดเร็วทันทีทันใด เราเรียกว่า ฮาร์ดนี[Hard-Knee] และถ้าให้เสียงที่ถูกกด[Compress] ค่อยๆลดลงเพื่อให้เสียงฟังดูนุ่มขึ้นเราเรียกว่า ซอฟต์นี[Soft-Knee] ซึ่งมีปุ่มให้กดเลือกใช้งานได้ แต่ปุ่มนี้จะมีชื่อเรียกทางการค้าที่แตกต่างกันไป เช่น
ยี่ห้อ dbx เรียกปุ่มนี้ว่า Over Easy
ยี่ห้อ Behringer เรียกปุ่มนี้ว่า Interactive Knee


การตั้งค่า THRESHOLD
เสียงดนตรี เสียงพูด และเสียงร้องเพลงทั่วๆไป จะตั้งค่าไว้ที่ 0 dB
เสียงร้องเพลงประเภท เฮฟวี่ ร็อค ฮิปพอฟ หรือเพลงวัยรุ่นประเภท แหกปากตะโกนร้อง ก็ตั้งไว้ที่ -10 dB ถึง -20 dB ให้ปรับหมุนฟังดูค่าที่เหมาะสมไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป


2.2 RATIO เป็นปุ่มสำหรับทำหน้าที่ปรับลดระดับเสียงลงมีค่าเป็นอัตราส่วนจำนวนเท่าต่อ 1 ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์กับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้คือ


[1] เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 1:1 สัญญาณด้านออกจะไม่ถูกกดลงเลย
[2] เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 2:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 2เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลงเหลือ +10dB
[3] เมื่อตั้งค่าอัตราส่วนไว้ที่ 4:1 สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลง 4เท่า เมื่อสัญญาณเข้าเพิ่มขึ้น 1dB เช่นสัญญาณเข้า +20dB สัญญาณออกจะถูกกดให้ลดลงเหลือ +5dB
[4] Infinite (หมุนตามเข็มนาฬิกาสุด) สัญญาณด้านออกจะถูกกดให้ลดลงเท่ากับค่าเทรชโฮลด์ที่ตั้งไว้


การตั้งค่า RATIO
เสียงพูด เสียงร้องเพลงทุกแบบ เสียงเครื่องดนตรีทั่วไป ปรับตั้งไว้ที่ 2:1 ถ้าตั้งให้ลดมากไปจะทำให้เหมือนเสียงเกิดอาการวูบวาบกระโดดไม่คงที่


2.3 ATTACT เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาของการเริ่มต้นกดสัญญาณ[compress] จะช่วยทำให้เสียงมีความหนักแน่นดีขึ้น มีหน่วยเวลาเป็น มิลลิวินาที[mSEC] เสียงพูด เสียงเพลงดนตรีทั่วไป ให้ตั้งค่าไว้ที่ประมาณ 40-50 mSEC เพลงคลาสสิค หรือเพลงที่มีความฉับไวของดนตรี ให้ตั้งไว้ที่ประมาณ 25-30 mSEC


2.4 RELEASE เป็นปุ่มสำหรับปรับตั้งค่าหน่วงเวลาช่วงหยุดการกดสัญญาณ จะทำให้น้ำเสียงนุ่มน่าฟังขึ้น มีหน่วยเวลาเป็นวินาที [SEC] เสียงพูด เสียงดนตรีทั่วไปให้ตั้งไว้ที่ 1.5-2 SEC


2.5 OUTPUT GAIN เป็นปุ่มปรับลดหรือเพิ่มระดับความแรงของสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีค่าลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ โดยมีค่าปรับได้ตั้งแต่ -20dB ถึง +20dB ในการใช้งานปกติให้ปรับค่าไว้ที่ 0 dB


3. LIMITER
ลิมิตเตอร์ทำหน้าที่รักษาระดับสัญญาณด้านขาออกของเครื่องให้มีความแรงสูงสุดได้ไม่เกินค่าที่ตั้งไว้ เช่นตั้งไว้ที่ 0dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน 0dB หรือตั้งไว้ที่ +5dB สัญญาณขาออกก็จะออกได้สูงสุดไม่เกิน +5dB เป็นต้น


การตั้งค่าLIMITER
เสียงพูด เสียงร้องเพลงทุกประเภท ให้ตั้งค่าไว้ที่ 0dB
เสียงดนตรี กลองกระเดื่อง กีต้าร์เบส ให้ตั้งค่าไว้ที่ +5dB ถึง +10dB
เสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ ตั้งค่าไว้ที่ 0dB




การต่อใช้งานเครื่อง COMPRESSOR
การต่อใช้งานเครื่องคอมเพรสเซอร์สามารถต่อใช้งาน ตามลักษณะประเภทของงานและตามความต้องการของผู้ใช้ได้ 4 แบบ ดังนี้


1. การต่อแบบ Channel Insert
การต่อแบบนี้เป็นการต่อใช้งานที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้เราสามารถปรับแต่งเสียงของคอมเพรสเซอร์ แต่ละแชลแนลได้อย่างอิสระ ทั้งเสียงจากไมโครโฟนสำหรับนักร้อง และเสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่แยกจากกัน


2. การต่อแบบ Group Insert
การต่อแบบนี้จะใช้คอมเพรสเซอร์ จำนวน 2 เครื่อง [4Ch] ในกรณีที่มิกเซอร์มี 4 กรุ๊ป คือ Group 1-2-3-4 ก็ให้เราจัดกรุ๊ป 1-2 เป็น ไมค์เสียงร้องทั้งหมด และกรุ๊ป 3-4 เป็นเสียงดนตรีทั้งหมด


3. การต่อแบบ Mix Insert
การต่อแบบนี้ใช้คอมเพรสเซอร์ 1เครื่อง [2Ch] ต่อที่ตำแหน่ง Mix Insert ของเครื่องมิกเซอร์ เป็นการต่อใช้งานเพื่อควบคุมเสียงทั้งหมดที่ถูกต่อเข้าที่มิกซ์ การปรับแต่งเสียงก็จะปรับโดยรวมๆกลางๆ


4. การต่อแบบ MIXER to COMPRESSOR
การต่อแบบนี้เป็นการต่อแบบที่ง่าย สะดวก และประหยัดที่สุด เพราะเป็นการต่อที่นำเอาสัญญาณเอาท์พุทจากมิกเซอร์มาเข้าอินพุทของเครื่องคอมเพรสเซอร์ และออกจากคอมเพรสเซอร์ไปเข้าเครื่องอีควอไลเซอร์
การปรับแต่งเสียงก็เป็นการปรับแบบรวมๆกลางๆ เพราะทุกเสียงผ่านคอมเพรสเซอร์ทั้งหมด


การตัดเสียงที่เกินออก

               การตัดเสียงที่เกินออก

          การปรับระบบ PA แต่ไม่มีใครเขียนให้อย่างละเอียด อ่านเข้าใจง่ายๆ ก็เลยขออนุญาตนำเสนอแบบงูๆปลาๆ เป็นแนวทางให้นำไปเป็นข้อมูลพื้นฐาน ประกอบกับความรู้ด้านอื่นๆ จากผู้รู้ท่านอื่นๆ ให้สมาชิกมือใหม่ได้นำไปใช้ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานครับ.........เมื่อตอนเล่นระบบ PA ใหม่ๆก็ไม่รู้เรื่องอะไร ปรับไปเรื่อย  จนพลาดพรั้งให้มีอาการพีค จนดอกลำโพง โดยเฉพาะลำโพงเสียงกลางพังไปเป็นสิบๆใบแล้ว....จนตอนหลังมาได้ไปดู ปรึกษา พูดคุย สอบถาม ไปดู ไปฟังระบบหน้างานจากผู้รู้หลายท่าน รวมทั้งอ่าน เรียนรู้จากแหล่งต่างๆมาอย่างมากมาย โชกโชน จนเข้าใจและสามารถเล่นได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็อยากเอาความรู้อันน้อยนิดที่มีมาแนะนำให้คนที่ไม่เข้าใจ คนเล่นมือใหม่ๆ  ให้เข้าใจง่ายๆ แบบลูกทุ่งๆ ไม่ใช้ภาษาวิชาการ .....สรุปให้ง่ายๆว่า ในมิกเซอร์จะมีหลักๆคือ
          - ปุ่ม Gain คือการปรับ”ขยาย “ สัญญาณเสียงจากแหล่งต่างๆ เช่น CD -DVD - Com -ไมค์-เทป -ซาวด์โมดูล -กลองอีเลคโทรนิค -อีเลคโทน -คีบอร์ด ฯลฯ  ที่เข้าในไลน์มิกซ์แต่ละช่องให้ "แรง" มากขึ้น..ไม่ได้หมายความว่าทำให้ “ ดัง” ขึ้น..แต่ เมื่อเร่ง ปุ่ม Gain แล้วเสียงดังขึ้นเพราะเป็นการเร่งสัญญาณให้  “ แรง” ขึ้นทำให้เสียงดังขึ้นไปนั่นเอง ...อันนี้ฟัง อ่านแล้วจะสับสนหน่อย จะเข้าใจยากหน่อย ต้องค่อยๆคิด ทำความเข้าใจนะครับ.
.......ผลเสียของการ เร่งปุ่ม Gain มากๆเกินไปคือจะทำให้เสียงเพลง ดนตรี แตกพร่า เพี้ยน ...เสียงไมค์มีการหวีด หอน ฮัม และจะทำให้ไฟลีด  PLF ในมิกซ์ขึ้นไปจนแดงแจ๋  ไฟพีคในมิกเซอร์แดง และจะทำให้มีมีอาการคลิปที่พาวเวอร์..ถ้าพาวเวอร์คลิปไฟแดงติดต่อกันยาวนาน จะทำให้ไฟ  DC แลบออกไปตามสัญญาณสู่ลำโพง ทำให้ไหม้ วอยยซ์ขาด...
         - สไลด์วอลลุ่มในไลน์มิกเซอร์ เป็นอุปกรณ์สำหรับการปรับ “เร่ง “ สัญญาณเสียงที่เข้ามาในแต่ละช่องให้ " ดัง" มากขึ้น
         - มาสเตอร์วอลลุ่ม เป็นการปรับ “ เร่ง” ให้สัญญาณทั้งหมดที่เข้ามาในมิกซ์ ให้ “แรง” และ ” ดัง” มากขึ้นไปสู่ระบบปรุงแต่งเสียง เช่น EQ- Cross- com Gate และไปสู่ระบบขยายเสียงคือพาวเวอร์แอมป์
-   ปุ่มปรับ EQ ในไลน์ ก็ใช้ปรับเพิ่มลดเสียง Low Mid Higth  ธรรมดาออก
-   ปุ่ม AUX ใช้ ปรับเล่น FX นอกและแยกเสียงต่างๆไปเข้าระบบอื่น

....การปรับหน้า Pa ทั้งระบบ
  จะบอกเป็นขั้นตอนให้ทำกันง่ายๆ ใช้ภาษาง่ายๆเหมือนที่ผมได้รับคำแนะนำมาดังนี้ครับ..
1.   เมื่อต่อระบบแล้ว เปิด เครื่องทุกชิ้น แล้วทำดังนี้
-   พาวเวอร์แอมป์เร่งวอลลุ่มจนสุดทุกตัว ทั้งขับ low mid hight
-   มิกซ์ปรับ EQ ในไลน์มิกซอร์ทุกตัวเป็น 0 ( ถ้ามิกเซอร์มี EQ ด้วยให้ปิดหรือปรับเป็น Flat หมด )
-   เร่งมาสเตอร์วอลลุ่มมิกเซอร์ไปที่ 0
-   ปรับ ปุ่ม Gain ในมิกเซอร์ไปที่ค่ามาตรฐาน ซึ่งจะมีเครื่องหมายที่กำหนดมาในมิกเซอร์ บางยี่ห้อเป็นเครื่องหมายรูป U บางยี่ห้อเป็นรูป สามเหลี่ยม
-   ปรับปุ่มเร่ง EQ  เป็น 0 ปรับสไลด์ เป็น Flat
-   ปรับปุ่ม Input + level ของ cross เป็นตรงกลาง
2.   หาแผ่นเพลงที่เสียงดีที่สุด ชัดเจน มีชิ้นดนตรีมากๆ เสียงร้องดีๆ ชัดๆ หรือแผ่นซาวด์เช็คมาเปิด ต่อเคื่อง DVD หรือ CD หรือจะใช้คอมพิวเตอร์ก้ได้ โดยต่อข้างซ้ายเข้าไลน์มิกเซอร์ 1   ข้างขวาเข้าไลน์มิกเซอร์ 2
      -  เร่งสไลด์วอลลุ่มในไลน์มิกเซอร์จนได้เสียงดังตามที่ต้องการแล้ว
      -  ให้มาปรับที่ crossover ก่อนโดยการปรับปุ่ม Level ของ  Low  mid hight  ของ cross ให้เสียง Low mid hight  ออกมาให้ดังสมดุลพอดีกัน ไม่ขาด ไม่ล้น เสียงใดเสียงหนึ่งดังมากเกินไป หรือเบาเกินไป  ..โดยการปรับแล้วเดินไปฟังด้านหน้าตู้ลำโพง ทั้งอยู่ใกล้ๆ หรืออยู่ไกลๆตู้ลำโพง  แล้วกลับมาปรับหลายๆครั้งให้เสียงทุกเสียงดังออกมาดังพอดี สมดุลกัน..
      -  เมื่อได้เสียงดัง พอดี สมดุลย์กัน ไม่มีเสียง  Low mid hight  เสียงใดเสียงหนึ่งเบา หรือดังมากเกินไปแล้ว ก็มาปรับที่ปุ่ม ปรับความถี่ของ Low mid  และ  Mid hight   จนได้เสียง   Low  หนักแน่น นุ่มนวล เสียง  Mid ที่โปร่ง หวาน กังวาน ชัดเจน  Hight ที่สดใส  ชัดเจน  ฯลฯ อันนี่ก็ต้องใช้วิธีการปรับแล้วเดินไปฟังหน้าตู้ ทั้งใกล้ และไกล หลายครั้ง หลายรอบอีกนั่นแหละ  มันจะขึ้นอยู่ที่ฝีมือ การฟัง หู ความต้องการของแต่ละคนอีกนั่นแหละ  เมื่อปรับได้จนลงตัว พอใจแล้ว  มือใหม่ๆ คนที่ไม่เก่งก็อย่าได้ไปยุ่งกับ crossover อีก ให้ตั้งไว้ตายตัวเลย ไม่ว่าจะใช้อะไร  งานสถานที่อย่างไร เพราะถือว่า Set ได้พอดีแล้ว
  -  ขั้นตอนต่อไป  ก็ให้ปรับแต่งที่ EQ  ช่วยจนได้เสียงที่คิดว่าลงตัว ดีที่สุดแล้ว   แต่ถ้าปรับ EQ แล้วเสียงแย่ลง ก็แสดงว่าการปรับแต่งเฉพาะที่ Crossoverลงตัวพอดีแล้วก็ไม่ต้องปรับแต่ง EQ อีกให้ตั้งไว้ที่ Flat ได้เลย.....EQ  นี้ในระบบงาน PA ส่วนมากจะใช้ในการ Cut เสียงที่โด่งเกินไปลง  ....แต่ไม่ได้หมายความว่าการใช้งาน EQ ที่ถูกจะต้อง cut ลงอย่างเดียวนะครับ  EQ สามารถที่จะยกขึ้นได้เมื่อเสียงความถี่ใดความถี่หนึ่งขาดหายไปไม่เป็นไปตาม ที่ต้องการก็สามารถยก EQ ช่วยได้  ...และ EQ จะไม่ตั้งไว้ถาวร สามารถปรับได้ตามที่ต้องการ ตามสถานะการณ์  แต่ถ้าไม่คล่อง ไม่เก่ง มือใหม่ๆ ก็ให้ตั้งไว้ให้มาตรฐานและพยายามอย่าไปยุ่งกับมัน
  -  ต่อไป ก็มาถึงการปรับใช้มิกซ์  ปุ่มมาสเตอร์ให้ให้ตั้งไว้ที่ 0 ตลอด  ปุ่มสไลด์วอลลุ่มในไลน์แต่ละช่อง สามารถปรับเร่งเสียงได้ตามต้องการไม่จำกัด จนบางครั้งสุดรางก็ได้ ถ้าเสียงไปพร่า เพี้ยน 
  -   ปุ่ม   Gain  ให้ตั้งไว้ไม่เกิน ค่ามาตรฐานที่เขากำหนดมาโดยมีเครื่องหมายตามที่กล่าวมาแล้วไว้ให้  ..แต่ก็สามารถปรับเร่งขึ้นไปได้ในกรณีที่สัญญาณที่เข้ามาเบาเกินไป เร่งวอลลุ่มสไลด์มากๆแล้วเสียงยังเบาอยู่..แต่ก็ต้องระวังถ้าเร่ง Gain มากๆอาจจะเกิดเสียงหวีด หอน ฮัม ถ้ามีเสียงเหล่านี้ต้องรีบลด Gain ลงทันทีจนเสียงหวีด หอน ฮัม หายไป  .......วิธีที่ดีที่สุดคือใช้การเร่งปุ่มสไลด์วอลลุ่มเป็นหลักก่อนถ้าเสียง ยังเบาไปถึงจะมาเร่งปุ่ม  Gain ช่วยอีกที
  -  ปุ่ม EQ ในไลน์ ปรับได้อิสระตามความพอใจ ความต้องการ ความเหมาะสม
  -  EQ ในเครื่องมิกเซอร์ที่มีบางรุ่น ให้ปิด หรือปรับเป็น Flat เมื่อใช้  EQ นอกเพราะไม่อย่างนั้นมันจะเหมือนมีปรี ซ้อนปรีเสียงความถี่ต่างๆจะล้นมากเกินไปรบกวนกัน จนบางครั้งเสียงเพี้ยน และปรับยากมาก...

******.....ก็เป็นการแนะนำอย่างคร่าวๆ ให้เข้าใจง่ายๆ สมาชิกรุ่นใหม่ มือใหม่ก๋ลองเอาไปทดลอง ฝึกปรับกันดูนะครับ..
****......  จำกันง่ายๆว่าการปรับระบบหน้า PAกับการปรับระบบการใช้งานแตกต่างกันนะครับ..
......1....การปรับระบบหน้า PA คือการปรับตั้งระบบเมื่อสร้างระบบใหม่หรือ เพิ่ม เปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ๆแรกสุดให้ตั้งปุ่มปรับทุกอย่างเป็นกลางหมดทั้ง Cross  - EQ  -  Mixer   ต่อมาปรับแต่งระบบของอุปกรณ์ต่างๆตามลำดับก่อนหลังคือ
.1.. Cross     2. EQ    3.  Mixer
....2....การปรับระบบขณะใช้งาน หรือเรียกว่า ซาวด์เช็ค เป็นการปรับขณะออกงานในสถานที่ต่างๆ จะต้องมีการปรับอีกครั้งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ( สถานการณ์เช่นเสียงคนร้องเพลง พูด ต่างกันบางคนดัง บางคนเบา บาง
คนเสียง บี้ แหลม บางคนเสียงทุ้ม ฯลฯ ) และสถานที่ เช่นที่สนามโล่งแจ้ง สนามแคบๆ สนามกว้างๆ  ในห้องแคบๆ ในหอประชุม ขนาดต่างๆ ในฮอลล์ใหญ่ๆ ฯลฯ ซึ่งในสถานที่ที่แตกต่างกันระบบจะแตกต่างกัน ดังนั้นจะต้องปรับระบบให้เหมาะสมกับสถานที่..การปรับระบบเมื่ออกงาน หรือซาวด์เช็ค จะปรับตามลำดับหน้าหลังคือ
1..Mixer    2. EQ   3.   crossover ( ส่วนมากCross จะไม่ค่อยไปยุ่งกับมันเพราะตอนปรับ PA ถือว่าลงตัวที่สุดแล้ว)


.......... สิ่งที่สำคัญที่สุด  ยากที่สุดในการปรับระบบ ให้เสียงออกมาดีที่สุดคือ ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเสียง  การฟังเสียงออก ฟังเสียงเป็น  และความรู้ความเข้าใจในการปรับเพิ่ม ลด ปุ่มความถี่ต่างๆ ทั้ง EQ ในไลน์  - EQ นอกมิกเซอร์ และ crossover  ( รวมทั้งการปรับใช้ FX ทั้งนอกและในมิกเซอร์ +Gate compressor ด้วย)ให้เสียงออกมาดีที่สุด กลมกลืน ลงตัวที่สุดทั้งภาคดนตรี ภาคไมค์ทั้งการร้อง การพูด...เรียกคนปรับระบบว่า ซาวด์เอ็นจิเนียร์  ซึ่งคนที่เก่งๆจะมีน้อย เพราะจะต้องเป็นพวก “ หูทอง” ฟังออก ฟังเก่ง เข้าใจระบบ รู้จักอุปกรณ์การใช้อุปกรณ์ทำให้สามารถปรับระบบเพิ่ม ลดปุ่ม EQ ปุ่มความถี่ ความดังต่างๆได้ดี ได้เก่ง ลงตัว...คนที่เคยเล่นเครื่องเสียงในบ้านระดับไฮเอนด์มาก่อนจะได้เปรียบ เรื่องนี้



http://www.koratsound.com/home/index.php?topic=1092.0

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดบทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มเรียนที่ 2 รายวิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน รหัสวิชา 0026008 ชื่อ นายณัฐกานต์ ขันลุน รหัสนิสิต 56011210019

                       แบบฝึกหัดบทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ
1.ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยข้อละ 3 ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจสอบกับเพื่อน
1) การบันทึกข้อมูลและจัดเก็บข้อมูล 
1.ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ
2.เทปแม่เหล็ก จานเเม่เหล็ก
3.บัตรเอทีเอ็ม ATM
2)การแสดงผล
1.เครื่องพิมพ์
2.จอภาพ
3.พลอตเตอร์
3)การประมวลผล
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์เเวร์
4)การสื่อสารและเครือข่าย
1.วิทยุ
2.โทรทัศน์
3.โทรเลข


ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความสัมพันธ์กัน
  3   ซอฟต์แวร์ประยุกต์
  3.เทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วต่อการนำไปใช้
  6   Information Technolog
  6.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
  1   คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล  1.ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผล
  4   เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
  4.มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วนได้เเก่ Sender Medium และDecoder
 10
  ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน  10.ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
  7   ซอฟต์แวร์ระบบ  7.โปรแกรมที่ทำหน้าที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์
  9   การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดียที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ตามระดับความสามารถ
  9.CAI
  8   EDI
  8.โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์เเวร์ประเภท
  5   การสื่อโทรคมนาคม  5.การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย
  2   บริการชำระภาษีออนไลน์
  2.e-Revenue


การปรับแต่งเสียงเครื่องเสียง


การปรับแต่งเสียงเครื่องเสียง

  จะบอกเป็นขั้นตอนให้ทำกันง่ายๆ ใช้ภาษาง่ายๆเหมือนที่ผมได้รับคำแนะนำมาดังนี้ครับ..

1.   เมื่อต่อระบบแล้ว เปิด เครื่องทุกชิ้น แล้วทำดังนี้
-   พาวเวอร์แอมป์เร่งวอลลุ่มจนสุดทุกตัว ทั้งขับ low mid hight
-   ที่มิกซ์ปรับ EQ ในไลน์มิกซอร์ทุกตัวเป็น 0 หรือ แฟลท
( ถ้ามิกเซอร์มี EQ ด้วยให้ปิดหรือปรับเป็น Flat หมด )
-   เร่งมาสเตอร์วอลลุ่มมิกเซอร์ไปที่ 0
-   ปรับปุ่ม Gain ในมิกเซอร์ไปที่ค่ามาตรฐาน ซึ่งจะมีเครื่องหมายที่กำหนดมาในมิกเซอร์ บางยี่ห้อเป็นเครื่องหมายรูป U บางยี่ห้อเป็นรูป สามเหลี่ยม ...ถ้าไม่มีเครื่องหมายที่ว่ามา ยี่ห้ออื่นๆให้ตั้งไว้ที่ 9 โมง..ถ้าเป็นยี่ห้อ Soundcraft ให้ตั้งไว้ที่ประมาณ 10-11 โมง
-   ที่เครื่อง EQ ปรับปุ่มเร่ง EQ  เป็น 0 ปรับสไลด์ เป็น Flat ( ถ้ามีปุ่มเกรท คอมเพลสเซอร์ในตัว เช่น dbx 2231 ให้ปิด )
-   ที่ครอสปรับปุ่ม Input + level output low-mid-hight ของ cross เป็นตรงกลาง ( 12 นาฬิกา)
2.   หาแผ่นเพลงที่เสียงดีที่สุด ชัดเจน มีชิ้นดนตรีมากๆ เสียงร้องดีๆ ชัดๆ หรือแผ่นซาวด์เช็คมาเปิด ต่อเครื่อง DVD หรือ CD หรือจะใช้คอมพิวเตอร์ก้ได้ โดยต่อข้างซ้ายเข้าไลน์มิกเซอร์ 1   ข้างขวาเข้าไลน์มิกเซอร์ 2
     
เร่งสไลด์วอลลุ่มในไลน์มิกเซอร์จนได้เสียงดังตามที่ต้องการแล้ว
      -  ให้มาปรับที่ crossover ก่อนโดย
          1.  ปรับ In Put ไปที่ 12 นาฬิกา ลด Level output ของ Low และ  Mid hight ลงจนหมด
          2.  เริม่การ Set เสียง Low โดยเร่ง  Level output ของ Low  ไปที่ 12 นาฬิกา ...ขั้นต่อไปก็ปรับตัดความถี่ของเสียง Low จนได้ เสียง Low เบส + กระเดื่องกระชับ คม ชัดเจน หนักแน่น มากที่สุด (  ซึ่งตู้ Low แต่ละสูตรจะปรับตัดความถี่ไม่เหมือนกัน..โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 80-140 )..จากนั้นก็เร่ง Level output ของ Low ให้เสียง low ดังขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งเสียง low จะเริ่มแกว่ง พร่า เพี้ยน..ก็ให้ลดลงมาจนเสียง low ดังปรกติ ..นั่นคือ เราจะได้เสียง low ที่ดีที่สุด +ดังที่สุดของระบบนั้นๆแล้ว
          
3  ต่อไปก็เป็นการ Set เสียงกลาง ..ให้ลด Level output ของ Low ลงจนหมด...  แล้วปรับ Level output ของ Mid และ Hight ไปที่ 12 นาฬิกา  และปรับความถี่ Mid Hight จนได้เสียงกลาง + แหลมที่ลงตัว ดีที่สุด  นั่นคือเราจะได้เสียง กลางแหลมที่ดี ลงตัวที่สุดของระบบนั้นๆแล้ว
      -  ขั้นตอนต่อไปคือการปรับผสมเสียง Low- Mid- Hight ของระบบให้ลงตัว สมดุลย์กันที่สุด  โดยการปรับปุ่ม Level out put ของ  Low  mid hight  ของ cross ให้เสียง Low mid hight  ออกมาให้ดังสมดุลพอดีกัน ไม่ขาด ไม่ล้น เสียงใดเสียงหนึ่งดังมากเกินไป หรือเบาเกินไป  ..โดยการปรับแล้วเดินไปฟังด้านหน้าตู้ลำโพง ทั้งอยู่ใกล้ๆ หรืออยู่ไกลๆตู้ลำโพง  แล้วกลับมาปรับหลายๆครั้งให้เสียงทุกเสียงดังออกมาดังพอดี สมดุลกัน..
       -  เมื่อได้เสียงดัง พอดี สมดุลย์กัน ไม่มีเสียง  Low mid hight  เสียงใดเสียงหนึ่งเบา หรือดังมากเกินไปแล้ว ก็มาปรับที่ปุ่ม ปรับความถี่ของ Low mid  และ  Mid hight   จนได้เสียง   Low  หนักแน่น นุ่มนวล (ตามแต่เหมาะสมของแต่ละระบบ +ความชอบแต่ละคน หรือสูตรของตู้ซับเบส หรือใช้หูฟังให้เบส-กระเดื่องมีความดังและเกาะชิดกัน พอดีๆ)  เสียง Mid ที่โปร่ง หวาน กังวาน ชัดเจน  Hight ที่สดใส  ชัดเจน  ฯลฯ อันนี่ก็ต้องใช้วิธีการปรับแล้วเดินไปฟังหน้าตู้ ทั้งใกล้ และไกล หลายครั้ง หลายรอบอีกนั่นแหละ  มันจะขึ้นอยู่ที่ฝีมือ การฟัง หู ความต้องการของแต่ละคนอีกนั่นแหละ  เมื่อปรับได้จนลงตัว พอใจแล้ว  มือใหม่ๆ คนที่ไม่เก่งก็อย่าได้ไปยุ่งกับ crossover อีก ให้ตั้งไว้ตายตัวเลย ไม่ว่าจะใช้อะไร  งานสถานที่อย่างไร เพราะถือว่า Set ได้พอดีแล้ว
  -  ขั้นตอนต่อไป  ก็ให้ปรับแต่งที่ EQ  ช่วยจนได้เสียงที่คิดว่าลงตัว ดีที่สุดแล้ว   แต่ถ้าปรับ EQ แล้วเสียงแย่ลง ก็แสดงว่าการปรับแต่งเฉพาะที่ Crossoverลงตัวพอดีแล้วก็ไม่ต้องปรับแต่ง EQ อีกให้ตั้งไว้ที่ Flat ได้เลย.....EQ  นี้ในระบบงาน PA ส่วนมากจะใช้ในการ Cut เสียงที่โด่งเกินไปลง  ....แต่ไม่ได้หมายความว่าการใช้งาน EQ ที่ถูกจะต้อง cut ลงอย่างเดียวนะครับ  EQ สามารถที่จะยกขึ้นได้เมื่อเสียงความถี่ใดความถี่หนึ่งขาดหายไปไม่เป็นไปตามที่ต้องการก็สามารถยก EQ ช่วยได้  ...และ EQ จะไม่ตั้งไว้ถาวร สามารถปรับได้ตามที่ต้องการ ตามสถานะการณ์ ขนาดพื้นที่งาน หรือลักษณะงานที่แตกต่างกันเช่นในห้อง หรือสนามโล่งกลางแจ้ง แต่ถ้าไม่คล่อง ไม่เก่ง มือใหม่ๆ ก็ให้ตั้งไว้ให้มาตรฐานและพยายามอย่าไปยุ่งกับมัน

  -  ต่อไป ก็มาถึงการปรับใช้มิกซ์  ปุ่มมาสเตอร์วอลลุ่มให้ตั้งไว้ที่ 0 ตลอด  ปุ่มสไลด์วอลลุ่มในไลน์แต่ละช่อง สามารถปรับเร่งเสียงได้ตามต้องการไม่จำกัด จนบางครั้งสุดรางก็ได้ ถ้าเสียงไปพร่า เพี้ยน 
  -   ปุ่ม   Gain  ให้ตั้งไว้ไม่เกิน ค่ามาตรฐานที่เขากำหนดมาโดยมีเครื่องหมายตามที่กล่าวมาแล้วไว้ให้ ถ้าไม่มีก็ตั้งไว้ต่ำก่อนประมาณ 9 นาฬิกา แล้วค่อยปรับเร่งขึ้นไปทีละนิดๆ ..และก็สามารถปรับเร่งขึ้นไปได้ในกรณีที่สัญญาณที่เข้ามาเบาเกินไป เร่งวอลลุ่มสไลด์มากๆแล้วเสียงยังเบาอยู่..แต่ก็ต้องระวังถ้าเร่ง Gain มากๆอาจจะเกิดเสียงหวีด หอน ฮัม ถ้ามีเสียงเหล่านี้ต้องรีบลด Gain ลงทันทีจนเสียงหวีด หอน ฮัม หายไป  .......วิธีที่ดีที่สุดคือใช้การเร่งปุ่มสไลด์วอลลุ่มเป็นหลักก่อนถ้าเสียงยังเบาไปถึงจะมาเร่งปุ่ม  Gain ช่วยอีกที
  -  ปุ่ม EQ ในไลน์ ปรับได้อิสระตามความพอใจ ความต้องการ ความเหมาะสม
  -  EQ ในเครื่องมิกเซอร์ที่มีบางรุ่น ให้ปิด หรือปรับเป็น Flat เมื่อใช้  EQ นอกเพราะไม่อย่างนั้นมันจะเหมือนมีปรี ซ้อนปรีเสียงความถี่ต่างๆจะล้นมากเกินไปรบกวนกัน จนบางครั้งเสียงเพี้ยน และปรับยากมาก...
            

                   การปรับระบบขณะใช้งาน หรือเรียกว่า ซาวด์เช็ค เป็นการปรับขณะออกงานในสถานที่ต่างๆ จะต้องมีการปรับอีกครั้งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ( สถานการณ์เช่นเสียงคนร้องเพลง พูด ต่างกันบางคนดัง บางคนเบา บาง
คนเสียงบี้ แหลม บางคนเสียงทุ้ม ฯลฯ ) และสถานที่ เช่นที่สนามโล่งแจ้ง สนามแคบๆ สนามกว้างๆ  ในห้องแคบๆ ในหอประชุม ขนาดต่างๆ ในฮอลล์ใหญ่ๆ ฯลฯ ซึ่งในสถานที่ที่แตกต่างกันระบบจะแตกต่างกัน ดังนั้นจะต้องปรับระบบให้เหมาะสมกับสถานที่..การปรับระบบเมื่ออกงาน หรือซาวด์เช็ค จะปรับตามลำดับหน้าหลังคือ

                สิ่งที่สำคัญที่สุด  ยากที่สุดในการปรับระบบ ให้เสียงออกมาดีที่สุดคือ ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเสียง  การฟังเสียงออก ฟังเสียงเป็น  และความรู้ความเข้าใจในการปรับเพิ่ม ลด ปุ่มความถี่ต่างๆ ทั้ง EQ ในไลน์  - EQ นอกมิกเซอร์ และ crossover  ( รวมทั้งการปรับใช้ FX ทั้งนอกและในมิกเซอร์ +Gate compressor ด้วย)ให้เสียงออกมาดีที่สุด กลมกลืน ลงตัวที่สุดทั้งภาคดนตรี ภาคไมค์ทั้งการร้อง การพูด...เรียกคนปรับระบบว่า ซาวด์เอ็นจิเนียร์  ซึ่งคนที่เก่งๆจะมีน้อย เพราะจะต้องเป็นพวก หูทองฟังออก ฟังเก่ง เข้าใจระบบ รู้จักอุปกรณ์การใช้อุปกรณ์ทำให้สามารถปรับระบบเพิ่ม ลดปุ่ม EQ ปุ่มความถี่ ความดังต่างๆได้ดี ได้เก่ง ลงตัว...คนที่เคยเล่นเครื่องเสียงในบ้านระดับไฮเอนด์มาก่อนจะได้เปรียบเรื่องนี้ 

 

https://www.google.co.th/search?q=

ความรู้สำหรับคนเล่นเครื่องเสียง

           ความรู้สำหรับคนเล่นเครื่องเสียง




       การใช้ปุ่ม roundness หรือ ปุ่ม MX (Media Xpander) อาจจะทำให้เสียงเบสหนักขึ้น และเสียงกลางแหลมผิดเพี้ยนไป การใช้ควรปรึกษาช่างที่ชำนาญว่าจะใช้ในโอกาสใด เช่น แบบ Hi-Power หรือแบบมี Power amp

                
       
   การปรับเกนวอลลุ่มของวิทยุ ถ้าจะให้สุดยอดต้องปรับระดับเกนอยู่ที่ 80 เปอร์เซ็น แล้วจึงมาปรับแต่งวอลลู่มที่ปรีตามความต้องการ เสียงที่ได้ออกมาจะมีความอิ่มเอิบมากกว่า

            แผ่นซีดีที่จะนำไปเล่นกับเครื่องเสียง ขณะใช้มือสัมผัสนั้น จะต้องแน่ใจแล้วว่ามือนั้นได้สะอาด โดยไม่ควรเปื้อน ของหวาน, ขนมขบเคี้ยว หรือ ไม่ว่าจะเป็น ของคาว ก็ตาม มิฉะนั้น แล้วอาจจะทำให้มดเข้าไปทำรังภายในเครื่องเล่น หรือ เครื่องเสียงของท่าน ได้

          เสียงจะดีเข้าขั้นอยู่ที่องค์ประกอบต่างๆ เช่นแผ่นซีดีที่จะเปิด ถัดมาเป็นระบบใดๆ, AMP, ลำโพง, แหล่งกำเหนิดคุณภาพขั้นไหน, เซ็ทจูนเข้ากันเพียงใด, นั่งฟังตำแหน่งไหน เป็นต้น

         ชุดประมวลผล จะมีความได้เปรียบเกี่ยวกับการเลือกแนวเพลงที่ฟังได้หลายเมมโมรี่ ซึ่งสามารถเลือกความถี่เสียงความลาดชันของเสียงได้อย่างแม่นยำตามสไตล์ที่เราต้องการซึ่งจะมีอยู่ในชุดถอดรหัส
          
           ระบบเสียงที่ดียิ่งยวด ปัจจุบันใช้เป็นระบบถอดรหัสที่เป็นทั้งอินพุท แบบดิจิตอล และอนาล็อค สามารถแยกเสียงชุดหน้าเป็นระบบ TRI-AMP และหลังเป็น BI-AMP และแยกความถี่ได้ชัดเจนทั้งกลางแหลมหน้า/หลัง และซับวูฟเฟอร์ ซึ่งเหนือชั้นกว่าปรีแอมป์ และคลอสส์โอเวอร์โดยทั่วไปฯ

         ในการฟังเสียงเพลง ตำแหน่ง ซ้าย และ ขวา ถ้าฟังจากจุดนั่งฟัง แล้วตำแหน่งเสียงไม่อยู่กลางเวที ( หน้ากระจกรถ ) สามารถปรับตำแหน่ง BALANCE ให้ลงตัวได้ โฟกัสของเสียงจะดีขึ้น ซึ่งตำแหน่ง BALANCE นี้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ตำแหน่ง CENTER
 
         แบตเตอร์รี่แห้ง แอมป์แปร์สูงสามารถใส่แทนแบตเตอร์รี่เดิมที่มากับรถได้ เชื่อหรือไม่ว่าทำให้ระบบไฟของรถ และเครื่องเสียงรถดีขึ้นมากกว่าเก่า เช่น รอบเครื่องยนต์ดีขึ้น, ออกตัวดีขึ้น, อัตราเร่งแรงขึ้น และเครื่องเสียงมีพลังดีขึ้นมาก
 

           เสียงเบสถ้าตีตู้ซับเป็นตู้สูตรปิด ขณะเปิด-ปิด ฝากระโปรงรถด้านท้ายเสียงเบสจะมีความแตกต่างกัน แก้ไขได้โดย NORMAL เป็น REWORD หรือ REWORD เป็น NORMAL ก็จะได้เสียงเบสที่สมจริงตามอะคูดติกของรถ

         ระบบไฟเกี่ยวกับตัวฟรอนท์ ควรจะต่อให้ครบโครงสร้างที่โรงงานออกแบบมา เช่นสายGROUND สายBACKUP สายACC ถ้าไปต่อไฟตรงรวมทั้งหมดอาจจะเกิดผลกระทบข้างเคียงได้

          แผ่นซับเสียง (DAMPING) มีส่วนสำคัญที่ทำให้รถเงียบ และชุดเครื่องเสียงมีความนิ่งขึ้น เพราะส่วนประกอบของแผ่นซับเสียงมีสารเคลือบพิเศษช่วยลดการสะท้อนของเสียง

        เสียงในระบบเครื่องเสียง จะดีไม่ดี ขึ้นอยู่กับแผ่นซีดีเพลงที่เปิดด้วยว่าอัดในระบบ 1 บิท หรือ 24 บิท คุณภาพของแผ่น บิทมากบิทน้อย ก็มีส่วนทำให้เสียงดีด้วย (นอกเหนือจากระบบที่ติดตั้งที่ดีอยู่แล้ว)

         ระบบไฟถือว่าสำคัญ มั่นตรวจดูแบตเตอรรี่ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ เช่น ขั้ว + และ - ให้แน่น อย่าให้มีขี้เกลือ ถ้ามีให้ใช้น้ำร้อนราด และทาด้วยจารบี มั่นตรวจดูน้ำกลั่นอย่าให้ต่ำกว่าที่กำหนด ฯ

           วิทยุ CD ที่แบบถอดหน้าปัดท์ได้ ถ้าใช้ไปนานๆ มีอาการติดๆดับๆ ควรถอดมาล้างคอนแทรค เพื่อล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ที่คอนแทรคอาจเป็น เขม่า หรือ ฟักส์ (คราบขี้เกลือ) เพื่อให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม

        ในกรณีติดตั้ง TV MONITOR ในรถยนต์ เวลาทำความสะอาดควรระวังหน้าจอ ห้ามใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ หรือ แว๊กซี่ เพราะอาจทำให้จอหม่นหมอง เป็นคราบ และเป็นรอยได้ ควรใช้ผ้าละเอียดๆ เช็ด เช่นผ้าเช็ดแว่นตาดีกว่าเป็นต้น 


        การเบิรน์อิน เครื่องเสียง โดยปกติแล้วต้องมีการใช้งานอยู่ระหว่าง 100-200 ชั่วโมง เป็นขั้นต่ำเครื่องเสียงถึงจะมีการเข้าที่ให้ประสิทธิ์ภาพเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็น และช่วงที่ผ่านพ้นเบิรน์อินแล้วควรมีการเซ็ตอัพใหม่ เพื่อคุณภาพเสียงมีประสิทธิภาพสูงสุด 

          ติดตั้งเครื่องเสียงใหม่ๆ อาจจะมีกลิ่นของกาวหุ้มพรม หรือหนัง จากแผ่นไม้ MDF ชนิดการอบน้ำยาค่าเชื้อ มอด วิธีแก้ไขดับกลิ่นเบื้องต้น แนะนำให้เอาถ่านหุงข้าว (ถ่านไม้ดำ) ใส่ถาดวางไว้ที่เก็บสัมภาระด้านหลังรถ หรือในรถ ทิ้งไว้สัก 2-3 วันเพื่อดูดกลิ่น





https://www.google.co.th/search?q=





วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัด บทที่ 2 บทบาทสารสนเทศเเละสังคม กลุ่มเรียนที่ 2 รายวิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน รหัสวิชา 0026008 ชื่อ นายณัฐกานต์ ขันลุน รหัสนิสิต 56011210019

แบบฝึกหัด

บทที่ 2 บทบาทสารสนเทศเเละสังคม                                                       กลุ่มเรียนที่ 2
รายวิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                           รหัสวิชา 0026008
ชื่อ นายณัฐกานต์  ขันลุน                                                                       รหัสนิสิต 56011210019

คำชี้เเจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1. ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่างๆ  ตามหัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ

1.1 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา 
http://www.studentloan.or.th
http://www.msu.ac.th
http://www.kku.ac.th
1.2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน 
http://www.moc.go.th
http://www.gpef.or.th
http://www.doae.go.th
1.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน 
www.chiangmainews.co.th
www.thairath.com
www.matichon.co.th
1.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม
www.industry.go.th
www.dip.go.th
www.diw.go.th
1.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์
http://www.cancer.org
http://www.cdc.gov
http://www.familydoctor.org
1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ 
http://www.glo.or.th/
http://www.rpcafamily.com/
http://www.greatcadettutor.com/
1.7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม
http://www.acat.or.th/
http://www.coe.or.th/
http://www.thaiengineering.com/
1.8 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม
http://www.thaigreenagro.com
http://www.moac.go.th
http://www.doae.go.th
1.9 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่างๆ
http://www.braille-cet.in.th/Braille-CET/
http://www.tddf.or.th/tddf/
http://lib02.kku.ac.th/dsskku/ 

2. มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้าง บอกมาอย่าง น้อย 3 อย่าง 

http://tdc.thailis.or.th/tdc/
http://reg.msu.ac.th
http://www.msu.ac.th

3. ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง

- สามารถ Download เอกสารงานวิจัย วิทยานิพนธ์ฟรีจาก http://tdc.thailis.or.th/tdc/
-
 สามารถลงทะเบียนเรียน ตรวจสอบข้อมูลการศึกษา ได้จาก http://reg.msu.ac.th
-
 สามารถติดตามข่าวสารจากทางมหาวิทยาลัย และดูรายละเอียดต่างๆในหลักสูตรได้จาก http://www.msu.ac.th